กลับสู่ด้านบน

ทำไมลดเค็ม ถึงลดอ้วนได้?

หลายๆ คนอาจจะสงสัยว่าทำไมตัวเองถึงอ้วน ทั้งๆที่ไม่ได้กินเยอะ บางทีอาจจะกินน้อยกว่าคนผอมด้วยซ้ำ ลองสังเกตดีๆ ว่าคุณทานอาหารรสจัดมากเกินไปหรือเปล่า โดยเฉพาะ “รสเค็ม” คือวายร้ายที่ทำให้เราอ้วนได้แถมยังมีความเสี่ยงการเป็นโรคมากมายอีกต่างหาก

มาดูไปพร้อมๆ กันเลยว่า “ความเค็ม” ทำให้เราอ้วนได้ยังไงบ้าง

เนื่องจากว่าร่างกายของคนเรามันฉลาด มีกลไกที่คอยปรับสมดุลระหว่างน้ำและเกลือโดยอัตโนมัติ เมื่อใดก็ตามที่ร่างกายเรารับเกลือเข้ามา เมื่อนั้นมันก็จะสรรหาน้ำเข้ามาเพิ่ม เพื่อรักษาสมดุลตรงนี้ไว้ ด้วยเหตุนี้เอง คนที่กินเค็มจึงอ้วน เพราะร่างกายบวมน้ำ

ทางองค์การอาหารและยา หรือ อย. ได้กำหนดไว้ว่า ปริมาณของเกลือที่ร่างกายรับได้ในแต่ละวัน ไม่ควรเกิน 2,400 มิลลิกรัม หรือ 1 ช้อนโต๊ะเท่านั้น ฟังดูแล้วอาจจะคิดว่าใครมันจะไปกินเกลือได้ตั้ง 1 ช้อนโต๊ะ?

คำตอบคือ อาหารที่เรากินเข้าไปในแต่ละวัน จะมีปริมาณเกลือโซเดียมแอบแฝงอยู่จำนวนมาก โดยที่กินเข้าไปแล้วอาจจะไม่มีรสเค็ม เราจึงได้รับเกลือหรือโซเดียมมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการโดยไม่รู้ตัว

ยกตัวอย่างเช่น อาหารแช่แข็ง อาหารแปรรูป อาหารที่ผ่านการปรุงมาหลายขั้นตอน เครื่องปรุงชนิดต่างๆ ที่อาจจะไม่มีรสเค็ม น้ำซุป ขนมบรรจุถุง ซอสมะเขือเทศ หรือแม้แต่ขนมปังที่มีโซเดียมจากผงฟู (โซเดียมไบคาร์บอเนต)

เราแทบจะไม่รู้เลยว่าอาหารเหล่านี้มีโซเดียมในปริมาณมาก ยังไม่นับความเค็มที่ได้จากนิสัยชอบโรยพริกน้ำปลาในข้าวและการกินอาหารสิ้นคิดอย่างบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนะ

นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมบางคนออกกำลังกายเป็นประจำแต่ก็น้ำหนักตัวก็ยังเท่าเดิม รูปร่างก็ไม่ได้ดีขึ้น

ที่น่ากลัวกว่าความอ้วนก็คือ การกินเค็มยังเป็นสาเหตุของโรคไตวายเรื้อรังที่ ณ ขณะนี้ คนไทยมากกว่า 10% เป็นกันอยู่ และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ

 

เผื่อใครยังไม่ทราบ โรคนี้เป็นแล้วรักษาไม่หาย ทำได้แค่รักษาเพื่อประคองอาการเท่านั้น ผู้ป่วยจะต้องฟอกไตสัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้ง ครั้งละ 2 – 4 ชั่วโมง เพื่อต่อชีวิตไปเรื่อยๆ ค่าใช้จ่ายในการฟอกไตจะอยู่ที่ราวๆ 2,500 บาทต่อครั้ง ฟังดูไม่ใช่ชีวิตที่น่าจะสนุกเท่าไร

รู้กันแบบนี้แล้ว ก็อย่าลืมคิดก่อนกิน เพราะไม่ว่าเราจะกินอะไร มันก็ส่งผลต่อชีวิตทั้งนั้น อยากได้ชีวิตแบบไหนอยู่ที่เราเลือกนะจ้ะ “เลือกกิน” ตั้งแต่วันนี้แล้วใช้ชีวิตอย่างมีความสุข หรือ “กินไม่เลือก” ตั้งแต่วันนี้แล้วรับความเจ็บป่วยที่จะตามมาภายหลัง ….