กลับสู่ด้านบน

มะเร็งปากมดลูก

มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งในเพศหญิงที่พบได้บ่อยที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากมะเร็งเต้านม (สถิติของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ปี พ.ศ.2553) และมีผู้หญิงไทยเสียชีวิตจากโรคนี้เฉลี่ย 14 ราย/วัน มะเร็งปากมดลูกเกิดจาก จากเชื้อไวรัสที่ชื่อว่าเอช พี วี (Human Papilloma Virus; HPV) ซึ่งสามารถติดต่อได้จากการมีเพศสัมพันธ์แต่สิ่งที่ทำให้โรคนี้น่ากลัวที่สุด ก็คือคุณจะไม่รู้ตัวเลยว่าคุณได้รับเชื้อ HPV เข้าไปในบริเวณปากมดลูกเรียบร้อยแล้ว เพราะในบางรายเชื้อ HPV จะใช้เวลาถึง 10 ปีในการก่อตัวเป็นมะเร็ง

สิ่งสำคัญที่ควรทราบเกี่ยวกับมะเร็งปากมดลูก
  1. สตรีที่แต่งงานหรือมีเพศสัมพันธ์แล้วมีโอกาสติดเชื้อไวรัสนี้ในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต แต่การติดเชื้อส่วนใหญ่มากกว่าร้อยละ 90 จะหายไปได้เอง ภายใน 1-2 ปีโดยไม่ก่ออาการหรือโรค
  2. การใช้ถุงยางอนามัยช่วยป้องกันการติดเชื้อได้แต่ไม่ทั้งหมด
  3. การมีคู่นอนเพียงคนเดียวก็มีโอกาสติดเชื้อได้

ดังนั้นการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำจึงเป็นสิ่งสำคัญ แม้ว่าจะมีคู่นอนเพียงคนเดียว

อาการของโรคมะเร็งปากมดลูก

อาการโรคมะเร็งปากมดลูกในระยะเริ่มแรก จะไม่มีอาการผิดปกติ จึงยากที่จะสังเกตได้ แต่เชื้อไวรัสนี้ก็สามารถที่จะตรวจพบได้แต่เนิ่นๆ ถ้าตรวจภายในทุกๆปี หรือถ้ามีอะไรผิดปกติก็สามารถไปตรวจได้ไม่ต้องรอ

  1. ตกขาวมีสีเหลือง มีกลิ่นแรง และมีเลือดปนด้วย
  2. มีเลือดออกผิดปกติหลังมีเพศสัมพันธ์
  3. ประจำเดือนมาผิดปกติจากที่เคยเป็น (มานานผิดปกติ หรือเป็นกะปริบกะปรอย)
  4. มีอาการเจ็บขณะร่วมเพศ
  5. ปวดท้องน้อย
  6. มีเลือดออกหลังจากหมดประจำเดือน
  7. ปัสสาวะ/อุจจาระเป็นเลือด
  8. ขาบวม ปวดหลัง (มะเร็งเริ่มลุกลามไปสู่อวัยวะอื่นๆ)
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็งปากมดลูก

สาเหตุการเกิดมะเร็งปากมดลูกยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจน มีปัจจัยหลายอย่างที่มีความสัมพันธ์กับโรคมะเร็งปากมดลูก เช่น การมีเพศสัมพันธ์ ตั้งแต่อายุยังน้อย, มีบุตรมาก, มีประวัติเป็นกามโรค เป็นต้น แต่จากสถิติและการศึกษาค้นคว้าพบว่า มะเร็งปากมดลูกมีความสัมพันธ์กับการติดเชื้อไวรัสฮิวแมนแพปพิลโลมาหรือเชื้อเอชพีวี (Human papilloma virus – HPV ) บริเวณอวัยวะเพศ โดยเฉพาะที่บริเวณปากมดลูก (รวมทั้งอวัยวะเพศภายนอก) อย่างไรก็ตาม แม้การติดเชื้อไวรัส HPV ที่ปากมดลูกเป็นสาเหตุที่พบมากที่สุดในการเกิดมะเร็งปากมดลูก แต่ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่ติดเชื้อไวรัสนี้แล้วจะเป็นมะเร็งปากมดลูก

กลุ่มเสี่ยงของผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งปากมดลูก
  1. บุคคลที่มีคู่นอนหลายคน ความเสี่ยงสูงขึ้นตามจำนวนคู่นอนที่เพิ่มขึ้น
  2. บุคคลที่มีเพศสัมพันธ์เมื่ออายุน้อย
  3. บุคคลที่สูบบุหรี่
  4. บุคคลมีประวัติการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น เอดส์ เริม ซิฟิลิส และหนองใน เป็นต้น
  5. บุคคลการให้กำเนิดลูกหลายคน
  6. บุคคลที่มีการกินยาคุมกำเนิด
  7. มะเร็งปากมดลูกสามารถถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรม

มะเร็งปากมดลูกเป็นโรคที่เราสามารถป้องกันได้ โดยวิธีป้องกันมะเร็งปากมดลูกสามารถทำได้ดังต่อไปนี้

  1. หลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคน
  2. หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ในขณะอายุยังน้อย
  3. ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์
  4. พยายามป้องกันตัวเองจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะการติดเชื้อ HPV
  5. งดสูบบุหรี่
  6. ฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ HPV
  7. ตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธีแปปสเมียร์อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยเฉพาะหญิงที่ผ่านการมี

มะเร็งปากมดลูกนั้นสามารถตรวจหาความผิดปกติได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ แม้ว่าจะเป็นโรคที่มีความรุนแรง แต่ก็สามารถป้องกันได้ ถึงจะป้องกันได้ไม่ 100% ก็ตาม แต่ก็ช่วยให้ความเสี่ยงลดลงได้ โดยการป้องกันด้วยตนเองแบบง่าย ๆ ก็คือการหลีกเลี่ยงสารก่อมะเร็ง และหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง เช่น พฤติกรรมทางเพศ ได้แก่ เลี่ยงการเปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ และใช้เครื่องป้องกันอย่างถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ อีกทั้งยังไม่ควรสูบบุหรี่ และไม่ควรใช้ยาคุมกำเนิดติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ ทั้งนี้อีกวิธีที่สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัส HPV อันเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกได้ก็คือ การฉีดวัดซีนป้องกันเชื้อไวรัส HPV ซึ่งจะสามารถช่วยป้องกันได้เกือบ 100% นอกจากนี้ยังควรที่จะตรวจหาเชื้อไวรัส HPV และมะเร็งปากมดลูกอยู่อย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง